หน้าเว็บ

ค้นหาบล็อกนี้

เรื่องน่ารู้ เกียวกับที่ดิน



"ฮวงจุ้ย" เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยภูมิพยากรณ์ของประเทศจีน ซึ่งสั่งสมกันมานับพันๆปี หลักของฮวงจุ้ยนั้นจึงเป็นการถ่ายทอดความรู้จากรุ่นสู่รุ่นในแบบของความ เชื่อ ซึ่งเป็นวิธีการสอนของคนสมัยก่อนมากกว่าการสอนด้วยหลักเหตุผลแบบ
วิทยาศาสตร์ แต่เมื่อเราะนำความเชื่อของฮวงจุ้ยมาวิเคราะห์กันจริงๆแล้ว จะพบว่าความเชื่อเหล่านี้
มีความสัมพันธ์กับหลักของเหตุและผลอยู่ไม่น้อยทีเดียว
ขอนำฮวงจุ้ยมาวิเคราะห์ในเชิงการออกแบบ เพื่อช่วยให้คุณคลี่คล้ายข้อข้องใจด้วย
ปัญญามากกว่าจะเชื่อแบบตามๆกันมาอย่างไม่มีเหตุผล ประเด็นที่หยิมยกมานั้นอาจ
มีทั้งคล้ายและขัดแย้งกันบ้าง เพราะอย่าลืมว่าฮวงจุ้ยเป็นวิชาที่มีกำเนิดมาจาก
ประเทศจีนซึ่งมีภูมิประเทศและภูมิอากาศไม่เหมือนประเทศไทยครับ

รูปทรงที่ดินแบบต่างๆ
1."รูปทรงที่ดินปากกว้างก้นแคบ ในตำราฮวงจุ้ยกล่าวเอาไว้ว่าเป็นที่ดินไม่เก็บทรัพย์
เงินทองรั่วไหล เจ้าของบ้านจะมีหนี้สินมากมาย หาเท่าไหร่เป็นหมด และใครที่
ปลูกบ้านบนที่ดินลักษณะนี้ชีวิตสมรสจะล้มเหลว" สมัยก่อนประเทศจีนมีการ
เก็บภาษีที่ดินจากความยาวของด้านที่อยู่ติดถนน ชาวจีนสมัยนั้นจึงไม่นิยมสร้างบ้าน
บนที่ดินที่มีหน้ากว้าง อีกทั้งบ้านที่มีด้านยาวติดถนนมากๆ มักจะมีปัญหาเรื่องฝุ่น
ควัน และเสียงดังรบกวนจากภายนอกได้ง่ายด้วย แต่ถ้าเรามองในแง่ของการค้าแล้ว
ที่ดินลักษณะนี้กลับน่าจะเป็นข้อได้เปรียบตรงที่มีพื้นที่ขายหน้าร้านกว้างมากขึ้น
2."รูปทรงที่ดินสี่เหลี่ยมคางหมูปากแคบ ตำราฮวงจุ้ยเรียกว่าเป็นที่ดิน "ถุงเงิน"
เป็นที่ดินที่เก็บทรัพย์ได้ดี แต่อาจต้องดิ้นรนต่อสู้บ้างในช่วงแรกๆ" น่าจะมีเหตุผลมา
จากการเก็บภาษีที่ดินของประเทศจีนในสมัยก่อนเช่นเดียวกับข้อแรก ทำให้เจ้าของ
บ้านบนที่ดินหน้าแคบมีเงินเหลือเก็บมากกว่าบ้านบนที่ดินหน้ากว้างและหากมองใน
แง่การออกแบบแล้ว ที่ดินลักษณะนี้มักจะมีปัญหาเรื่องเสียงรถ และฝุ่นควัน รบกวน
น้อยกว่าด้วย
3."ใครปลูกบ้านบนที่ดินใบมีด จะมีแต่อันตราย" การออกแบบบ้านบนที่ดินแคบยาว
และมีขนาดเล็กมากๆ อาจมีปัญหาเรื่องการวางตำแหน่งห้องภายในบ้าน ซึ่งจะทำได้
ค่อนข้างยาก โดยเฉพาะที่ดินที่ด้านแคบหันไปทางทิศเหนือ-ใต้ เพราะจะทำให้
ออกแบบตัวบ้านเลี่ยงแสงแดดได้ลำบาก ซึ่งอาจเป็นสาเหตุทำให้บ้านร้อน จนเจ้าของ
บ้านอยู่แล้วรู้สึกไม่สบาย อีกทั้งในการออกแบบบ้าน เรายังต้องคำนึงถึงระยะถ่อยร่น
จากเขตที่ดินอย่างน้อย 2 เมตร เพื่อสามารถทำหน้าต่างบ้านได้ ทำให้พื้นที่ที่เหลือ
สำหรับสร้างบ้านจริงๆเหลือน้อยมาก จนทำให้การออกแบบบ้านให้ดีนั้นทำได้ยาก
ยิ่งขึ้น
4."ใครปลูกบ้านบนที่ดินรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนจะมีปัญหาเรื่องสุขภาพ และประสบ
อุบัติเหตุบ่อยครั้ง จนเป็นเหตุให้มีเรื่องให้เสียเงินเสียทองเสมอ" ที่ดินลักษณะนี้ไม่ว่า
จะวางตำแหน่งบ้านแบบไหนก็จะเหลือเศษสามเหลี่ยมมุมแหลม เป็นซอกรั้วบ้าน 2
ด้านเสมอ ซึ่งเป็นรูปร่างของพื้นที่ที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้มากนัก นอกจากจะ
จัดเป็นสวนหรือระเบียงนั่งเล่น และในแง่ของจิตวิทยาลักษณะซอกมุมเหล่านี้ ยังเป็นมุมที่ทำให้ผู้มองเกิดความรู้สึกอึดอัดอีกด้วย
5."ที่ดินรูปค้อน มีแต่เรื่องหนักใจ ครอบครัวแตกร้าว มีทุกข์เหมือนกับโดนค้อนทุบ" ที่ดินลักษณะนี้หากเราวางผังบ้านไม่ดีจะเหลือซอกมุมและจุดอับมาก ซึ่งในการ
ออกแบบบ้านที่ดีนั้น เจ้าของบ้านควรจะสามารถมองเห็นบริเวณภายในบ้านทุกๆ
ส่วนได้ชัดเจนด้วย เพราะการมีมุมอับทางสายตาในบ้านจะทำให้เจ้าของบ้าน
เกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัยและเป็นกังวลได้ง่าย ดังนั้นการวางตำแหน่งบ้านบน
ที่ดินรูปค้อน เราจึงไม่ควรวางตัวบ้านเบี่ยงไปด้านใดด้านหนึ่งมากจนเกินไป
6."ที่ดินรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเป็นทำเลฮวงจุ้ยที่ดี ครอบครัวที่อยู่บนทำเลนี้จะอยู่ดีเป็นสุข ไม่ค่อยมีเรื่องที่ทำให้เดือดร้อนใจ" เป็นลักษณะที่ดินที่ออกแบบและวางผังได้
ค่อนข้างง่าย ไม่เหลือเศษพื้นที่และมุมอับทางสายตาเหมือนที่ดินหักมุม แต่ความยาว
ที่เท่ากันทุกด้านนั้น ก็ทำให้บ้านดูไม่น่าสนใจด้วยเช่นกัน
7."ที่ดินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าตามตำราฮวงจุ้ยเป็นที่ดินที่ดีที่สุด ผู้อยู่อาศัยจะดี ครอบครัวมีความสุข" เป็นลักษณะรูปทรงที่ดินที่วางผังบ้านได้ง่ายที่สุด และสามารถ
ออกแบบให้มีพื้นที่เหลือสำหรับสวนและปลูกต้นไม้ได้มากกว่าที่ดินลักษณะอื่นๆ
(ในขนาดพื้นที่เท่ากัน) โดยเฉพาะที่ดินสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่อยู่ทางทิศขวางตะวัน
หรือมีด้านแคบหันไปทางทิศตะวันออกและตะวันตก เพราะจะช่วยให้เราสามารถ
ออกแบบบ้านรับลมประจำถิ่นที่พัดมาจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ได้เต็มที่
8."ใครปลูกบ้านบนที่ดินรูปทรงสามเหลี่ยมนั้นไม่ดี จะเจ็บไข้ได้ป่วย เกิดอุบัติเหตุและ
มีปัญหาเรื่องชู้สาว วิธีแก้คือแบ่งส่วนปลายสามเหลี่ยมออกมุมหนึ่ง จึงสามารถ
ปลูกบ้านได้ แต่ที่ดินนั้นจะต้องมีขนาดใหญ่พอที่จะปลูกบ้านได้ด้วย" ที่ดินรูป
สามเหลี่ยมหากมีขนาดเล็กมาก จะทำให้เราออกแบบบ้านได้ค่อนข้างลำบาก เพราะที่ดินลักษณะนี้จะมีมุมของรั้วบ้านซึ่งเป็นซอกไม่น่าดูถึง 2 มุมด้วยกัน ส่งผลให้เกิดความรู้สึกอึดอัดทางสายตา (ซึ่งเราอาจแก้ปัญหาด้วยการปลูกต้นไม้ เพื่อหลบเหลี่ยมมุมและปิดรั้ว) อีกทั้งพื้นฐานของรูปทรงบ้านและห้องภายใน
บ้านนั้นเป็นสี่เหลี่ยม เมื่อนำไปวางในพื้นที่สามเหลี่ยมจะทำให้เราเสียพื้นที่สำหรับ
สร้างบ้านมากกว่าที่ดินที่เป็นรูปสี่เหลี่ยม


เรียบเรียงโดย :: webmaster ::
ที่มา :: http://www.baan108.com/

.....................................................................................................................................



จัดสวน เสริมฮวงจุ้ยบ้าน และ วิธีจัดสวน
เรื่องของการจัดสวนภายในบ้าน ถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับบ้านในยุคนี้ เพราะสวน ได้กลายเป็นจุดเด่น เป็นหน้าตาของบ้าน แถมยังเป็นการเสริมฮวงจุ้ยบ้าน ให้ดีได้อีกด้วยค่ะ
ตำราฮวงจุ้ยมีพูดถึงหลักในการจัดสวนเอาไว้ หลากหลายรูปแบบด้วยกัน และเป็นเรื่อง ที่น่าสนใจไม่น้อย ปัจจุบันคนก็หันมานิยมจัดสวนแต่งบ้านกันอย่างจริงจัง บางบ้านหมด เงินไปกับเรื่องนี้มากโขทีเดียว ลองมาดูกันสิว่า ในทางฮวงจุ้ยพูด ถึงการจัดสวน เอาไว้อย่างไร
1. ตำแหน่งสวนควรอยู่ทางทิศตะวันออก
การกำหนดพื้นที่สำหรับจัดสวนภายในบริเวณบ้าน ถือเป็นสิ่งแรกที่จะต้องพิจารณา การที่ตำราระบุว่า สวนควรอยู่ทางทิศตะวันออก ก็ด้วยเหตุผลที่ว่าทิศตะวันออกเป็นทิศที่พระอาทิตย์ขึ้น แสงแดดในยามเช้า จะช่วยส่งเสริมต้นไม้ให้มีความงอกงามและเขียวสด เพราะเป็นแสงที่ไม่แรงจนเกินไป
2. สวนต้องครบองค์ประกอบของธาตุทั้ง 5 คือ น้ำ ไม้ ไฟ ดิน และทอง
สวนที่ดีจะต้องประกอบไปด้วย ต้นไม้ (ธาตุไม้) น้ำตก น้ำพุ อ่างบัว บ่อปลา (ธาตุน้ำ) แสงแดดส่องถึง(ธาตุไฟ) มีดินที่สมบูรณ์(ธาตุดิน) และที่สำคัญจะต้องมีการตกแต่งสวนอย่างสวยงาม(ธาตุทอง) ไม่ใช่ปล่อยให้รกรุงรัง กลายเป็นป่ามากกว่าสวน
3. น้ำตกในสวนจะต้องหันหน้าน้ำตกเข้าบ้านเสมอ
การตกแต่งสวนโดยมีน้ำเข้ามาเกี่ยวข้องในทางฮวงจุ้ยบอกเอาไว้ว่าจะต้องระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะกรณีของน้ำตก ที่มีการไหลของน้ำไม่เหมือนอย่างอื่น "หน้าน้ำตกจะต้องหันเข้าบ้าน ห้ามหันออกนอกบ้าน" เพราะการหันออกนอกบ้านจะหมายถึงการเงินไหลออก เพราะน้ำแทนความหมายของโชคลาภการเงินนั่นเอง นี่เป็นกฎเกณฑ์ที่จะต้องจำไว้ในการแต่งสวน
4. บ่อน้ำ สระน้ำ รูปทรงต้องไม่ร้าย
การขุดบ่อน้ำหรือสระน้ำในสวนนั้นสิ่งที่จะต้อง คำนึงถึงก็จะเป็นเรื่องของรูปทรงของสระนั้น ในทาง ฮวงจุ้ย จะให้ใช้รูปทรงที่ไม่ทำร้ายคนในบ้าน เช่น รูปทรงที่เป็นเหลี่ยม รูปทรงขนมเปียกปูน สามเหลี่ยม เป็นต้น ควรใช้รูปทรงโค้งมน หรือวงกลม จะถือว่าดีที่สุด
5.ก้อนหิน วางผิดเป็นอุปสรรคใหญ่หลวง
หิน มาตกแต่งสวนต้องระวังให้มาก โดยเฉพาะก้อนหินใหญ่เพราะในทางฮวงจุ้ย "ก้อนหิน" จะหมายถึงอุปสรรค การเลือกก้อนหินในการแต่งสวนจะต้องเลือกก้อนที่มีลักษณะกลมมน ห้ามเป็นเหลี่ยมคม หรือมีมุมแหลมก้อนหินที่มีรูก็เป็นลักษณะต้องห้ามเช่นกัน ตำแหน่ง ในการวางส่วนใหญ่ จะวางบริเวณมุมบ้าน ห้ามวางไว้หน้าบ้านหรือบริเวณที่ตรงกับประตูบ้าน
6.บ้านเล็ก ห้ามปลูกต้นไม้ใหญ่
บ้านที่มีขนาดเล็กมีพื้นที่จำกัดในการจัดสวน อย่างบ้านทาวน์เฮาส์ ห้ามเอาต้นไม้ใหญ่ มาปลูก เพราะจะก่อผลเสียมากกว่าผลดี สิ่งที่มองเห็นได้ชัด ก็คือ ต้นไม้ใหญ่จะทำลายฐานบ้าน และกิ่งก้านของต้นไม้ยังทำลายตัวบ้านอีกด้วย บ้านขนาดเล็กอย่างทาวน์เฮาส์ไม่ควรปลูก ต้นไม่ใหญ่ในบ้าน
7.หลีกเลี่ยงไม้หนามในการแต่งสวน
เรื่องต้นไม้ที่มีหนามแหลม ในทางฮวงจุ้ยจะถือว่าเป็นข้อห้ามอยู่แล้ว เพราะหนามที่แหลมคมจะส่งผลกระทบ ต่อคนในบ้านได้ แต่บางคนอาจจะสงสัยว่าต้นไม้อย่าง เฟื่องฟ้า โป๊ยเซียน ที่คนนิยม นำมาปลูกในบ้านทำไมถึงไม่ห้าม ความจริงแล้วไม้หนามอย่างเฟื่องฟ้าหรือโป๊ยเซียน ก็เข้าข่ายเป็นต้นไม้ต้องห้ามเหมือนกัน เพราะมีหนามแหลม เพียงแต่ว่า ชื่อของต้นไม้เป็นมงคลเท่านั้น และต้นเฟื่องฟ้าส่วนใหญ่ จะนิยมปลูก ริมรั้ว หรือ กำแพง ซึ่งกลับเป็นผลดีในแง่ของการป้องกันสิ่งไม่ดีเข้าบ้าน เหตุผลที่ตำราห้ามเอาไว้อย่างนั้น ก็เพราะหนามแหลมของต้นไม้ อาจจะเกี่ยวคนเดินผ่านไปมาในบ้านได้ โดยเฉพาะบ้านที่มีเด็กเล็กๆ นอกจากนี้ เวลาต้นไม้เติบโตเป็น ต้นไม้ใหญ่ จะเคลื่อนย้าย หรือตัดกิ่งของต้นไม้ค่อนข้างจะยากที่จะไม่โดยหนามเกี่ยว

เรียบเรียงโดย :: webmaster ::
ที่มา :: http://www.interhomeproperty.com

.....................................................................................................................................


  มาปลูกไม้มงคล ช่วยลดโลกร้อนกันดีกว่า...  ในสถานการณ์ที่พื้นที่ป่าไม้เหลือสภาพป่าสมบูรณ์ อยู่น้อยกว่า 30% ของเนื้อที่ประเทศไทย ความเสื่อมโทรมของป่าไม้เป็นประเด็นสำคัญที่กรมป่าไม้ต้องเร่งดำเนินการ เพื่อฟื้นฟูสภาพป่าเสื่อมโทรมให้กลับคืนความสมบูรณ์ของป่าไม้และทรัพยากร ป่าไม้ บนฐานคติที่ประชาชนและภาคีเครือข่ายองค์กรท้องถิ่นได้มีส่วนร่วมในการฟื้นฟู ดูแลรักษาป่าร่วมกับกลไกของกรมป่าไม้

กรมป่าไม้ในฐานะผู้มีความเชี่ยวชาญในการเพาะเนื้อเยื่อ เพาะเมล็ด ติดตา เพื่อให้ได้ต้นกล้าที่พร้อมนำไปปลูกเพื่อเป็นไม้ใหญ่ต่อไป กรมป่าไม้จึงมีโครงการเพาะพันธุ์ไม้มงคล 9 ชนิด เพื่อแจกฟรีให้ประชาชน นอกเหนือไปจากไม้สักที่ใช้ทำเสาชิงช้าที่ถือเป็นหนึ่งในไม้มงคล ยังมีต้นกล้าไม้มงคลอื่นๆ ประกอบด้วย ราชพฤกษ์ ชัยพฤกษ์ ขนุน ทองหลาง ไผ่สีสุก ทรงบาดาล พะยูง และกันเกรา

ความหมายแห่งไม้มงคล

ไม้มงคลที่นอกจากจะเป็นคติไทยที่มีชื่อ คุณสมบัติของต้นไม้ที่เป็นมงคลมักหามาปลูกกันแล้ว ในสมัยที่ต้นไม้ยังมีอยู่มาก หลายชนิดได้ถูกนำมาใช้สร้างบ้าน เช่น สัก มะค่า พะยูง และแม้ในยุคปัจจุบันที่ไม้หาได้ยากขึ้น แต่ในการก่อสร้างบ้านเรือนนิยมทำพิธีวางศิลาฤกษ์ ยังได้ใช้เศษส่วนไม้มงคลทั้ง 9 มาประกอบพิธี ไม่ว่าจะปลูกบ้านไม้หรือบ้านตึก หากมีพิธีวางศิลาฤกษ์ พราหมณ์ผู้ทำพิธีจะกำชับให้หาไม้ทั้ง 9 ชนิด เพื่อนำมาทำพิธีปักกับพื้นดิน เพื่อให้ความเป็นมงคลนามนั้นปกป้องผู้พักอาศัยให้มีความปลอดภัยและเจริญ รุ่งเรือง ซึ่งไม้แต่ละชนิดจะมีความหมายเฉพาะของตนเอง

1.ไม้สัก หมายถึง ความมีศักดิ์ศรี ความมีเกียรติ อำนาจบารมี คนเคารพนับถือและยำเกรง ไม้ต้น เป็นไม้ขนาดใหญ่ ลำต้นเปลาตรงเปลือกเรียบ หรือแตกเป็นร่องเล็กๆ สีเทา เรือนยอดเป็นพุ่มทรงกลมค่อนข้างทึบ ขึ้นเป็นหมู่ในป่าเบญจพรรณทางภาคเหนือ บางส่วนในภาคกลางและภาคตะวันตก มีอยู่บ้างทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เนื้อไม้มีลายสวยงามแข็งแรงทนทาน จึงมักนำมาใช้ประโยชน์ในการก่อสร้าง ใช้ทำเครื่องเรือนและในการก่อสร้างบ้านเรือน ชักเงาได้ง่าย ปลวก มอด ไม่ชอบทำลายเพราะเนื้อไม้มีสารเตคโตคริโนน

2.ราชพฤกษ์ หมายถึง ความเป็นใหญ่และมีอำนาจวาสนา ไม้สูง 8-15 เมตร ขึ้นตามป่าเบญจพรรณแล้งทั่วไป ทางภาคอีสานจะเรียกว่าต้นคูน ดอกสีเหลือง คุณประโยชน์ รากฝนทาแก้กลาก เป็นยาระบาย รากและแก่นเป็นยาขับพยาธิ เปลือกและไม้ใช้ฟอกหนัง และใช้บดทาผื่นตามร่างกาย เนื้อไม้สีแดงแกมเหลืองทนทานใช้ทำเสา ล้อเกวียน ใบต้มกินเป็นยาระบาย ดอกแก้ไข้ ฝักเนื้อในรสหวาน เป็นยาระบาย ช่วยบรรเทาอาการแน่นหน้าอก แก้ขัดข้อ

3.ชัยพฤกษ์ หมายถึง การมีโชคชัย ชัยชนะ ชนะศัตรู ชนะอุปสรรคต่างๆ ไม้ต้น สูงถึง 15 เมตร ลำต้นสีน้ำตาล ทรงพุ่มใบกลมคล้ายร่ม เมื่อต้นยังอ่อนมีหนาม ใบประกอบรูปขนนกปลายคู่ เรียงสลับ มีใบย่อย 5-15 คู่ แผ่นใบรูปไข่แกมรูปรี หรือรูปขอบขนาน ขนาดกว้าง 1.5-2.5 เซนติเมตร ยาว 2.5-5 เซนติเมตร ปลายใบมน โคนใบกลม ผิวใบด้านล่างมีขนละเอียด ดอกเริ่มบานสีชมพูแล้วเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม ใกล้โรยดอกสีขาว ประโยชน์ เนื้อในฝักเป็นยาระบายอ่อนๆ ปลูกประดับก็ได้ เพราะมีดอกสวยงาม

4.ไม้ขนุน หมายถึง หนุนให้ดีขึ้น ร่ำรวยขึ้น ทำอะไรจะมีผู้ให้การเกื้อหนุน ไม้ต้นขนาดใหญ่ สูง 15-30 เมตร ลำต้นและกิ่งเมื่อมีบาดแผลจะมีน้ำยางสีขาวข้นคล้ายน้ำนมไหล ถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศอินเดีย เป็นพืชเศรษฐกิจเมืองร้อนที่ให้ผลขนาดใหญ่ บริโภคทั้งผลดิบและผลสุก นอกจากนี้ ยังนำไปแปรรูปเป็นอาหารชนิดต่างๆ มีปลูกทั่วทุกภาคของประเทศไทย ผลอ่อนใช้ปรุงอาหาร ผลสุกเยื่อหุ้มเมล็ดมีรสหวาน เมล็ดปรุงอาหารได้ เนื้อไม้ใช้ทำพื้นเรือนและสิ่งก่อสร้างและเครื่องใช้ รากและแก่นให้สีเหลืองถึงเหลืองอมน้ำตาล ใช้ย้อมผ้าและแพรไหม รากนำมาปรุงเป็นยาแก้ท้องร่วง แก้ไข้

5.ทองหลาง หมายถึง การมีทรัพย์สิน มีเงินทองใช้ไม่ขัดสน ไม้ผลัดใบ สูง 5-10 เมตร ตามกิ่งต้นอ่อนมีหนาม เรือนยอดเป็นพุ่มกลม โปร่ง นิเวศวิทยา พบทั่วไปในย่านเอเชียเขตร้อนและอบอุ่น ใบอ่อนรับประทานได้ เป็นใบห่อเมี่ยงคำได้เหมือนใบชะพลู และปัจจุบันมีการตอนและปลูกลงกระถางเป็นไม้ประดับ เพราะเมื่อออกดอกมีสีแดงสวย

6.ไผ่สีสุก หมายถึง มีความสุขกายสบายใจ ไร้ทุกข์โศกโรคภัย เป็นไม้ไผ่ประเภทมีหนาม ความยาวลำต้นสูง 10-18 เมตร เนื้อแข็ง ผิวเรียบเป็นมัน ข้อไม่พองออกมา กิ่งมากแตกตั้งฉากกับลำต้น หนามโค้งออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 3 อัน อันกลางยาวกว่าเพื่อน ลำมีรูเล็กเนื้อหนา ใบมีจำนวน 5-6 ใบ ที่ปลายกิ่ง ปลายใบเรียวแหลม โคนใบเป็นรูปลิ่มกว้างๆ หรือตัดตรง เชื่อกันว่าเป็นไม้ดั้งเดิมในหมู่เกาะอินเดียตะวันออกหรือหมู่เกาะแปซิฟิก ตอนใต้ ในประเทศไทย มักจะขึ้นอยู่ตามที่ราบลุ่มริมห้วย แม่น้ำ และมักปลูกรอบๆ บ้านในชนบทเพื่อเป็นรั้วกันขโมย

7.ทรงบาดาล หมายถึง ความมั่นคง หรือทำให้บ้านมั่นคงแข็งแรง ไม้พุ่ม สูง 3-5 เมตร ใบ ประกอบแบบขนนก เรียงสลับ ใบย่อย 4-6 คู่ รูปไข่หรือรูปไข่แกมขอบขนาน ขนาดกว้าง 1-2 เซนติเมตร ยาว 2.5-4 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบมน ดอกสีเหลืองออกตามซอกใบและปลายกิ่ง เป็นไม้เอเชียเขตร้อนและจาเมกา มักปลูกเป็นไม้ประดับ

8.พะยูง หมายถึง การพยุงฐานะให้ดีขึ้น ไม้ต้น ผลัดใบ สูง 15-25 เมตร เปลือกสีเทาเรียบเรือนยอดทรงกลมหรือรูปไข่ ขึ้นในป่าดิบแล้งและป่าเบญจพรรณชื้นทั่วๆ ไป ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก เนื้อไม้สีแดงอมม่วงถึงแดงเลือดหมูแก่ เนื้อละเอียด แข็งแรงทนทาน ขัดและชักเงาได้ดี ใช้ทำเครื่องเรือน เกวียน เครื่องกลึงแกะสลัก ทำเครื่องดนตรี เช่น ซอ ขลุ่ย ลูกระนาด

9.กันเกรา หมายถึง ป้องกันภัยอันตรายต่างๆ หรืออีกชื่อหนึ่งว่า ตำเสา ซึ่งอาจหมายถึงทำให้เสาเรือนมั่นคง เป็นไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 15-25 เมตร เปลือกสีน้ำตาลเข้ม แตกเป็นร่องลึกไม่เป็นระเบียบ ขึ้นทั่วไปในป่าเบญจพรรณชื้นและตามที่ต่ำ ที่ชื้นแฉะใกล้น้ำ ทั่วทุกภาคของประเทศไทย เนื้อไม้สีเหลืองอ่อน เสี้ยนตรง เนื้อละเอียด เหนียว แข็ง ทนทาน ใช้ในการก่อสร้าง นิยมใช้ทำเสาเรือน แก่นมีรสฝาดใช้เข้ายาบำรุงธาตุ แน่นหน้าอก เปลือกใช้บำรุงโลหิต ผิวหนังพุพอง ปลูกเป็นไม้ประดับ

ไม้มงคลเหล่านี้ในการทำพิธีวางศิลาฤกษ์ จะลงอักขระที่เรียกว่า หัวใจพระอิติปิโส ได้แก่ อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ ลงบนท่อนไม้ชนิดละอักขระ พร้อมทั้งปิดทองทั้ง 9 ท่อน จากนั้นจึงนำปักวนขวา (ทักษิณาวรรต)

การร่วมมือร่วมใจกันปลูกต้นไม้ นอกจากจะเป็นการช่วยรักษาสภาพแวดล้อมให้อยู่ในสภาพที่อุดมสมบูรณ์แล้ว ยังถือเป็นกิจกรรมดีๆ ที่ใครๆ ก็สามารถทำร่วมกับครอบครัว เพื่อนฝูง ได้ในทุกโอกาสที่สำคัญ

หากตอนนี้ยังคิดไม่ออกว่าจะปลูกต้นอะไร? ขอเชิญชวนให้คนไทยทุกคนขอรับกล้าไม้มงคลทั้ง 9 ชนิด และกล้าไม้ประเภทอื่นๆ ฟรีได้ที่กรมป่าไม้ หรือสถานีเพาะชำกล้าไม้ทุกจังหวัดทั่วประเทศ


เรียบเรียงโดย :: webmaster ::
ที่มา :: http://doc.deqp.go.th
.....................................................................................................................................


 :: เรื่องน่ารู้ในการทำสัญญาซื้อขาย ::


สัญญาประเภทหนึ่งที่นัก ธุรกิจต้องใช้งานอยู่เสมอคือสัญญาซื้อขาย โดยความเข้าใจของคนโดยทั่วไป สัญญาซื้อขายก็คือสัญญาซื้อขายมีของ มีสินค้าที่มีคนอยากขายและมีคนอยากซื้อ ถ้าตกลงราคาและเงื่อนไขอื่นๆ กันได้ นั่นก็เป็นสัญญาซื้อขายแล้ว! ความเข้าใจดังกล่าวก็ไม่ผิด แต่ถ้าจะลงรายละเอียดกันในเรื่องของ “สัญญา” สำหรับนักกฎหมายแล้ว เอกสารที่เรียกกันว่าเป็น“สัญญาซื้อขาย” นั้น
สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก


ซึ่งสัญญาแต่ละประเภทจะส่งผลในทางกฎหมายที่แตกต่างกันออกไป

- สัญญาซื้อขายประเภทแรก คือ “สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด” หมายถึง สัญญาซื้อขายที่มีการตกลงเงื่อนไขต่างๆ เกี่ยวกับการ ซื้อขายครั้งนั้นไว้อย่างครบถ้วนแล้ว เช่น ทรัพย์สินที่จะซื้อขาย ราคา วันกำหนดส่งของ เมื่อมีการลงนามในสัญญานั้นหรือเมื่อมีการทำสัญญาแล้ว การซื้อขายจะสำเร็จเสร็จบริบูรณ์ไปทันที คู่สัญญาไม่ต้องไปทำการตกลงอะไรเพิ่มเติมหรือไปทำสัญญาอะไรกันอีกแล้ว ตัวอย่างของสัญญาประเภทนี้ก็เช่น สัญญาซื้อขายในการประกอบธุรกิจทั่วไป ผล ทางกฎหมายของสัญญาประเภทนี้ ก็คือเมื่อลงนามแล้ว ก็จะมีผลผูกพันตามกฎหมาย แม้ว่าในสัญญาอาจกำหนดให้มีการส่งมอบทรัพย์สินที่ซื้อขายหรือชำระราคาในภาย หลัง หรือเป็นงวดๆก็ตาม ก็มีผลผูกพันคือ ถ้าคู่สัญญาฝ่ายใดจะบิดพลิ้วขึ้นมา อีกฝ่ายก็สามารถฟ้องร้องบังคับให้ปฏิบัติตามสัญญานั้นได้




- สัญญาซื้อขายประเภทที่สองคือ “สัญญาจะซื้อจะขาย” สัญญาประเภทนี้จะพบในการตกลงซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ เช่น บ้าน ที่ดิน คอนโด และสังหาริมทรัพย์แบบพิเศษ เช่น เรือ แพ หรือสัตว์พาหนะ ถึงแม้คู่สัญญาจะลงนามในสัญญากันแล้ว และบางครั้งอาจ เรียกว่าเป็น “สัญญาซื้อขาย” ด้วยซ้ำไป แต่ถ้าข้อความในสัญญาดังกล่าวเขียนไว้ว่า คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายมีเจตนาที่จะไปจดทะเบียน สัญญาซื้อขายนั้นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ กรณีเช่นนี้ในทางกฎหมายจะถือเป็นเพียง“สัญญาจะซื้อจะขาย”ถามว่าทำไมต้องมี สัญญาประเภทนี้ ตอบได้ว่า เพราะกฎหมายบังคับไว้ว่าการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์และ สังหาริมทรัพย์พิเศษบางประเภทจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อ มีการไปจดทะเบียนที่สำนักงานที่ดินหรือหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ถ้าทำการซื้อขายที่ดินกันตามอำเภอใจ โดยไม่ไปจดทะเบียนต่อพนักงาน เจ้าหน้าที่ให้ถูกต้อง การซื้อขายนั้นจะเป็น “โมฆะ” ด้วยเหตุนี้ เวลาต้องการทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ประเภทนี้ นักกฎหมายถึงจะแนะนำให้ทำ “สัญญาจะ ซื้อจะขาย” เพื่อให้คู่สัญญาต้องผูกพันกันไว้ขั้นหนึ่งก่อนที่จะไปทำการจดทะเบียนโอน ทรัพย์สินเพื่อให้ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด แม้จะเรียกว่าเป็น “สัญญาจะซื้อจะขาย” แต่ก็มีผลทางกฎหมายเป็นสัญญา จึงใช้สิทธิฟ้องร้องบังคับคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งได้ โปรดระวังด้วยว่า ถ้าท่านซื้อหรือขายที่ดิน บ้าน หรือคอนโด แต่ทำสัญญาเป็นแบบ “สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด” โดยไม่มีข้อตกลงอย่างชัดเจนว่า จะไปจดทะเบียนการซื้อขายกับพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ถูกต้องอีกที สัญญาฉบับนั้นจะกลายเป็นสัญญาที่โมฆะ คือไม่มีผลทางกฎหมาย ทันที!


- สัญญาประเภทสุดท้าย คือ คำมั่นว่าจะซื้อขาย “คำมั่น” หมายถึง การที่คนๆ หนึ่งผูกพันตนว่าจะต้องปฏิบัติตาม “คำมั่น” หรือ สัญญาที่ให้ไว้ เช่น นายแดงได้ขายที่ดินให้นายดำโดยมีข้อตกลงว่า นายแดงมีสิทธิที่จะซื้อที่ดินแปลงนั้นคืนจากนายดำได้ภายในเวลา 1 ปี ศาลฎีกาได้ตัดสินว่า ข้อตกลงดังกล่าวเป็นคำมั่นของนายดำว่า จะขายที่ดินคืนให้นายแดง ดังนั้น ถ้านายดำบิดพริ้วไม่ยอมขายที่ดินแปลงนั้นคืนให้ นายแดงก็สามารถฟ้องร้องบังคับซื้อที่ดินแปลงนั้นได้ ในเรื่องของ “คำมั่น” แม้จะเป็นการให้สัญญาเพียงฝ่ายเดียว แต่ผู้ได้รับ “คำมั่น” ก็ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของคำมั่น มิฉะนั้น “คำมั่น” ที่ไม่ได้รับการตอบสนองก็อาจสิ้นสภาพไปได้ เช่น กรณีตัวอย่างข้างต้น ถ้าเวลาผ่านไป 2 ปีหลังการซื้อขายแล้ว นายแดงเพิ่งมา แจ้งกับนายดำว่าตนอยากซื้อที่ดินคืน กรณีแบบนี้ถือว่า “คำมั่น” ของนายดำที่ให้ไว้ได้สิ้นสุดไปแล้ว เพราะ “คำมั่น” ของนายดำมีเงื่อนไข อยู่ว่าจะขายคืนให้ “ภายในเวลา 1 ปี” เมื่อเกินเวลาไปแล้ว “คำมั่น” ก็สิ้นสุดลงทันที

จากประสบการณ์ของผู้ เขียน บางครั้ง คนที่เข้าทำสัญญาไปยึดติดกับ “ชื่อ” ของสัญญาจนละเลยสาระสำคัญภายใน ทั้งๆที่ใน ทางกฎหมายนั้น หัวใจสำคัญของสัญญาอยู่ที่เนื้อหาสาระข้างในไม่ได้อยู่ที่ชื่อ ดังนั้น ก่อนที่จะสรุปว่า สัญญาฉบับที่ท่านกำลังจะลงนาม เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดหรือเป็นสัญญาจะ ซื้อจะขาย หรือเป็นแค่คำมั่น โปรดตรวจสอบเนื้อหาสาระของสัญญาภายในเสียก่อน เพื่อความ มั่นใจและความเข้าใจที่ถูกต้อง และเพื่อที่ท่านจะได้รักษาสิทธิของตัวเองได้อย่างครบถ้วนด้วยครับ

เรียบเรียงโดย :: webmaster ::
ที่มา ::
.....................................................................................................................................


ติดต่อเรา

รูปภาพของฉัน
บริหารงานขายโดย บริษัท เอ็ม.ดี.บิสสิเนส จำกัด ( MD business ) 30/3 ม.1 ต.ทวีวัฒนา อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี 11110 แฟกซ์ 02-9033299      สอบถามเพิ่มเติม คุณ โกญจนาท รัตนวงศ์ 083-926-7733

อากาศวันนี้